JDM หรือ Japanese Domestic Market เป็นรถยนต์ญี่ปุ่นหรือชิ้นส่วนที่มีขายอยู่ในประเทศญี่ปุ่นจริง หรือว่าง่าย ๆ คือเป็นรถสเปกญี่ปุ่นนั่นเอง
ซึ่งในปัจจุบันถือว่ากระแสรถยนต์ 80-90 กำลังมาแรงอย่างมาก บางคันเรียกว่าเป็นของหายากเลยก็ว่าได้ เนื่องด้วยมีจำนวนจำกัด ทำให้ราคาพุ่งสูงไปตาม ๆ กัน เราจะพาไปดูกันว่ารถเหล่านี้ปัจจุบันมีราคาอยู่ที่เท่าไรกันบ้าง
Toyota Supra Mark IV
แน่นอนว่าต้องเริ่มด้วย King of JDM หรือราชารถญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้กันก่อน Toyota Supra (โตโยต้า ซูปร้า) เจนเนอเรชั่นที่ 4 รหัสตัวถัง A80 พร้อมเครื่องยนต์เปิดตัวมาในปี 1993 และเครื่องยนต์ 2JZ ที่ได้ทำให้คนทั่วโลกรู้จัก
Toyota Supra Mark IV นั้นถูกผลิตในปี 1993-2002 โดยผู้ออกแบบเดียวกันกับ Toyota Celica และ Toyota MR2 ทำให้มีรูปทรงแบบโค้งสวยงามมากขึ้น ด้านหน้าที่ยื่นออกมาพร้อมสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ แต่รถนี้มีน้ำหนักแค่ 1,585 กิโลกรัมเท่านั้น รวมทั้งภายในที่ออกแบบให้เหมือนกับค็อกพิทเครื่องบินรบ
ในส่วนของเครื่องยนต์ไม่พูดถึงก็ไม่ได้ โดยมี 2 แบบให้เลือกคือ 2JZ-GE 220 แรงม้าและแรงบิด 284 นิวตันเมตร กับเครื่อง 2JZ-GTE ให้กำลัง 276 แรงม้าและแรงบิด 431 นิวตันเมตร โดยเครื่องยนต์นั้นถือว่าทนทานมากเพราะทำมาจากเหล็กและอลูมิเนียม ที่สามารถรับแรงได้เยอะ เหมาะแก่การปรับจูนเป็นอย่างมาก แค่ปรับเล็กน้อยก็อาจได้ 500 กว่าแรงม้าให้เห็นแล้ว
ในด้านราคาปัจจุบัน สามารถหาได้ตั้งแต่ 2.5 ล้านขึ้นไปจนถึง 2.85 ล้าน และยังมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากคนจะเก็บมากกว่า
Mazda RX-7
แน่นอนว่าต้องมีเจ้าพลังลูกสูบหมุนสุดแรงของ Mazda (มาสด้า) ที่มีการผลิตมายาวนานกว่า 30 ปี แม้จะมีหลายรุ่น แต่ต้องยกให้ Mazda RX-7 โฉม FD หรือเจเนอเรชั่นที่ 3 พร้อมรูปทรงโฉบฉี่ยวขับเคลื่นล้อหลังแบ่งน้ำหนัก 50/50
เครื่อยนต์มีการวางไว้หลังเพลาหน้าทำให้รถได้ความสมดุลที่ดี มาพร้อมขุมพลังโรตารี่ Wankel 2 ลูกสูบ เทอร์โบคู่ให้กำลัง 238 แรงม้าและแรงบิด 295 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 สปีดมีอัตตราเร่งจาก 0-100 กม.ภายใน 5.3 วินาที
หากนำไปปรับแต่งเพิ่มก็จะได้ 600-700 ม้าเช่นกัน โดยได้ยกเลิกการผลิตไปในปี 2002 พร้อมรุ่นแต่งสุดท้าย Spirit-R ที่ได้ของตกแต่งเพิ่มเติมทั้งเบาะ Recaro สีแดง, คาลิปเปอร์เบรก ล้อ BBS และโช็ค Bilstein มีเพียง 1,500 คันเท่านั้น
ราคาในปัจจุบัน ก็จะพอ ๆ กันกับ Supra เริ่มต้นที่ 2.5 ล้านบาทไปจนถึง 3 ล้านกันเลย แต่รถจะค่อนข้างหายากกว่าเล็กน้อย
อ่านเพิ่มเติม Mazda จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า R-Series ใหม่จะเป็นอะไรกัน?
Mitsubishi Lancer Evolution
ราชาแห่งถนนอีกคันหนึ่ง ที่มีออกมาถึง 10 รุ่น และบอกได้เลยว่ารถแท้นั้นหายากมากถึงมากที่สุด เนื่องจากว่าสามารถหาซื้อแบบหัวตัดหรือเฉพาะเครื่องยนต์มาใส่ใน Mitsubishi Lancer ธรรมดาก็จะออกมาเป็น EVO แล้ว
แม้จะมีรุ่นย่อยมากมาย แต่ที่หายากที่สุดนั้นคือ Mitsubishi Evo 6.5 Tommi Mäkinen Edition ตั้งชื่อตามกัปตันทีมนักแรลลี่ตัวเทพชาวฟินแลนด์ ที่กวาดแชมป์ WRC รุ่น Turbo AWD ขับ 4 ล้อชนะ Subaru Impreza มาแล้ว
โดยเปิดตัวเมื่อปี 2000 ในราคาประมาณ 1.5 ล้าน มาพร้อมกับสีตัวถัง Passion Red และการตกแต่งจาก Ralliart ล้อ Forged น้ำหนักเบาจาก ENKEI ขนาด 17 นิ้วสีขาว ระบบเบรกของ Brembo
ในส่วนของระบบช่วงล่างยังได้รับการอัปเกรดใหม่ทั้งหมด เพื่อให้การขับขี่ที่สนุกเร้าใจ และซับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยมตามแบบฉบับของรถแข่ง WRC พร้อมเสริมกันโคลงค้ำโช้คที่ด้านหน้า – หลังตัวรถ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง
ส่วนขุมพลังจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตรเทอร์โบ ที่ให้กำลังสูงสุด 280 แรงม้า แรงบิด 373 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 240 กม./ชม. ซึ่งถือว่าแรงมาก ๆ ในยุคนั้น
ราคาล่าสุดที่เห็นประมูลกันจบอยู่ที่ประมาณ 6.7 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยนั้นมีเพียงไม่กี่คันเท่านั้น หากอยากได้อีโวก็จะแนะนำเป็นในรุ่น 7, 8 ,9 เนื่องจากมีขายกันเยอะ และราคายังจับต้องได้ ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ส่วนรุ่นที่เก่ากว่านี้ส่วนมากจะเป็นรถที่ทำขึ้นมา
อ่านเพิ่มเติม Mitsubishi ยืนยันยังไม่มีแผนการพัฒนา Lancer Evolution
Subaru Impreza WRX
ไม้เบื่อไม้เมากับ EVO ก็ต้องเป็น Subaru Impreza ที่ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน เปิดตัว Impreza ครั้งแรกในวันที่ 22 ตุลาคม 1992 แรกเริ่มเดิมที รถรุ่นนี้ถูกสร้างออกมาเพื่อเป็นรถบ้านใช้ง่ายขับสบาย
แต่มีจุดเด่นที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อซึ่งมีประโยชน์มากในหลายประเทศที่มีภูมิอากาศหลากหลายและสภาพถนน
คาดเดาไม่ได้ หัวใจหลังของการสร้าง Impreza อยู่ที่ความทนทาน ไม่จุกจิก ใช้แบบลืม ๆ หลังจากนั้นจึงได้คิดโปรเจคต์ทำรถแรงออกมา
โดยจริง ๆ แล้วถือว่าเป็นรถที่มีรุ่นย่อยเยอะมาก หากอยากเป็นเจ้าของ Subaru Impreza ธรรมดาก็หาได้ในราคา 399,000 บาทขึ้นไป ส่วนถ้าอยากได้ความแรงแบบ STi ก็ต้องเตรียมงบไว้ที่ 800,000-1,000,000 บาทขึ้นไป
Nissan Skyline GT-R R34
จริงอยู่ที่ว่ารุ่นใหม่ล่าสุดคือ Nissan GT-R R35 (นิสสัน จีทีอาร์ อาร์35) แต่ว่าเป็นรถที่มีขายในไทยอยู่แล้ว และมีราคาอยู่ที่ 3-5 ล้านบาท แต่ก็สามารถหาได้ทั่วไป
ที่ต้องยกให้ Nissan GT-R R34 เนื่องจากว่ารูปทรงจะถูกใจวัยรุ่นกนัเสียมากกว่าด้วยรูปร่างเหลี่ยมโค้งมน มีความขลังของญี่ปุ่นไปในตัว แถมยังมีรถจำนวนน้อยมากในประเทศไทย หากยากกว่า R35 หลายเท่า เนื่องจากคนที่มีมักจะไม่นำออกมาขายกัน หรืออาจเก็บไว้ปั่นราคา ทำให้ตอนนี้มีราคาไปมากกว่า 9-10 ล้านบาทในสภาพสมบูรณ์
หรืออยากหายากกว่านั้น R32 นั้นดูจะหายากกว่า เนื่องจากรถมีความเก่ามากกว่า โดยในต่างประเทศมีการฟื้นคืนชีพให้รถ ใช้เงินไปมากกว่า 10 ล้านบาท ส่วนที่ไทยจะมีราคาประมาณ 8-9 ล้านบาทเช่นกัน
ในส่วนของ R33 นั้นน่าแปลกใจตรงที่ว่าแม้จะไม่ค่อยมีขาย แต่มีราคาถูกกว่าพี่น้องอย่างมาก อยู่ที่ประมาณ 3-4 ล้านเท่านั้น
จริง ๆ รถญี่ปุ่นเก่า แม้ราคาจะแพง แต่ก็ถือเป็นรถในใจของชายไทยหลาย ๆ คน โดยส่วนมากจึงเน้นไปที่การเก็บรักษามากกว่านำมาออกวิ่ง หรือออกขาย
หากใครอยากได้เป็นเจ้าของ นอกจากเงินซื้อรถแล้ว อย่าลืมว่าจะต้องเตรียมค่าซ่อมบำรุงไว้ด้วย เนื่องจากเห็นบิลออกมาอาจหงายหลังได้
อ่านเพิ่มเติม ดูค่าบำรุง Nissan GT-R R35 ขับ 1 ปี 10,000 กิโล