ลองขับ Honda e:N1 รีวิว Honda

ลองขับ Honda e:N1 รุ่นประกอบในประเทศไทย พบความแตกต่างด้านการขับขี่ มีดีมากกว่าการใช้พลังไฟฟ้า รวมข้อดีของทั้ง 2 โลกมาเจอกัน แต่เสียดายต้องเช่าใช้เท่านั้น

Honda e:N1 เป็นครอสโอเวอร์ขนาดเล็ก พัฒนามาจาก Honda HR-V ถูกเปลี่ยนโครงสร้างและจุดยึดใหม่ ไม่ใช่แค่การแปะก้อนแบตเข้าไปก็จบแล้ว แต่มันต้องมีสมรรถนะดี ช่วงล่างรับน้ำหนักเพิ่มได้ โดยที่ยังคงการเกาะถนนและนิ่มนวลไปพร้อมกัน ดังนั้นรถรุ่นนี้จึงมีความแตกต่างจากรุ่นมาตรฐานเดิมอย่างมาก จนต้องเรียกว่าเหลือของเดิมเพียงแค่ 20% โดยประมาณเท่านั้น

ภายนอกต่างจาก HR-V มาก

ความประทับใจแรกคือ ความต่างจาก Honda HR-V ที่เป็นพื้นฐานอยู่มาก เพราะว่ามันเปลี่ยนด้านใหม่หมดจรด เพิ่มความมินิมอลขึ้น ด้วยฝาปิดช่องชาร์จอยู่ด้านหน้า อำนวยความสะดวกเวลาเข้าเสียบปลั๊ก ไม่ต้องกังวลว่าสายไฟยาวไม่ถึง แต่ข้อเสียคือ เวลาเกิดอุบัติเหตุชนเบาๆ จะมีค่าซ่อมแพง ส่วนการชาร์จก็ใช้การกดปุ่มเปิดฝา เสียบปลั๊กเข้าไปแล้วดูแถบสีเหนือช่องชาร์จ หากเป็นไฟสีฟ้ากระพริบ แสดงว่ากำลังชาร์จ และเมื่อชาร์จเสร็จจะขึ้นไฟสีเหลือง แสดงว่าแบตเต็มแล้ว 100%

ด้านข้างยังใช้ประตูบานเดิม เพิ่มเติมคือล้อแม็กซ์ 18 นิ้วลายใหม่ ที่เป็นซี่ตรงแบบสเปคขายญี่ปุ่น มองใต้ท้องรถก็แอบเห็นก้อนสีดำติดอยู่ใต้ท้องรถ ทำให้มิติความสูงใต้ท้องลดลงเหลือ 135 มม. เทียบเท่ารถเก๋งทั่วไป ส่วนท้ายรถมีความเปลี่ยนแปลงตรงไฟท้าย ไร้โลโก้ H กลายเป็นอักษร Honda แบบใหม่ กับอักษรชื่อรุ่น e:N1 แปะท้ายแทนของเดิม ทำให้ไฟท้ายไม่สามารถใช้ร่วมกับรุ่น HR-V ได้โดยตรง ส่วนฝาท้ายไฟฟ้ายังไม่มา ต้องใช้แรงคนยกกันต่อไป

ออพชั่นภายในเพียบ ขาดอย่างเดียว

ภายใน Honda e:N1 พบความตื่นตาด้วยหน้าจอขนาดใหญ่สุด เท่าที่ฮอนด้ามีขายในไทย เป็นจอแนวตั้งขนาด 15.1 นิ้ว แต่มันไม่ได้ใช้งานยากเลย เพราะการแสดงผลแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนบนไว้โชว์แผนที่นำทาง ส่วนกลางคือระบบความบันเทิงและการตั้งค่ารถ ส่วนล่างสุดคือเมนูระบบแอร์ ซึ่งการจัดวางแบบนี้ทำให้ใช้งานสะดวกมากกว่าหน้าจอใหญ่ที่ต้องแตะเข้าเมนูหลายชั้น กว่าจะได้ปรับแอร์หรือปรับเครื่องเสียง โดยรุ่นนี้ให้การเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สายได้แล้วด้วย ส่วน Android Auto ยังเสียบสายอยู่เหมือนเดิม

วัสดุการตกแต่งเป็นอีกความต่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน โดยใช้หนังสังเคราะห์สีดำ ตัดด้วยเส้นขอบตะเข็บสีขาว เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ส่วนเบาะคนนั่งตอนหน้ายังปรับมืออยู่

เบาะด้านหลังยังคงที่วางขาสบายแบบรุ่นมาตรฐานเดิม ไม่มีสันนูนเพิ่มมาเบียดเนื้อที่ มีความแตกต่างหลัก ๆ คือได้ช่องแอร์หลัง ไม่มีช่องดูดลมแอร์ข้างเบาะหลัง ขับทางไกลก็ไม่มีความร้อนแทรกเข้ามาแบบรุ่นไฮบริด และไม่มีช่องมูนรูฟแบบหลังคาแก้วอีกต่อไป แม้จะดูขาดความสวยงามไปบ้าง แต่หลายคนก็ไม่ชอบใช้งานออพชั่นนี้อยู่แล้ว

ระบบช่วยขับขี่มาครบ ขาดแค่กล้อง

การลองขับจริงใช้เส้นทางออกต่างจังหวัด รีดเค้นพลังบนทางด่วน พบว่าอัตราเร่งมีแรงดึงติดเบาะดี ไม่ได้เรียกแรงติดเบาะมาพร้อมทั้งหมดในคราวเดียวกัน แม้กระทึบคันเร่งไปแล้ว รถรุ่นนี้มันยังค่อยๆเติมพลังออกมาแบบไล่ระดับ เน้นความนุ่มนวลในการออกตัว และแรงบิด 350 นิวตันเมตรมันทำงานดึงติดเบาะได้นาน ส่วนกำลัง 201 แรงม้าช่วยทำความเร็วเร่งแซงได้อย่างทันใจ ได้อารมณ์เหมือนรถสันดาปกำลังสูง ขับง่ายไม่ต้องใช้ทักษะมากมาย เพราะน้ำหนักพวงมาลัยหนืดเหมาะมือ ต่อให้เป็นคนที่ขับรถไม่เก่ง ก็ขับได้แบบไม่เครียดไปกับความแรงแบบนี้

ระบบช่วยการขับขี่นั้นทำงานได้แม่นยำมาก โดยมีการใส่ระบบ BSM ช่วยเตือนรถในมุมอับสายตา และตัดกล้อง Lanewatch ออกไป ส่วนกล้องมองถอยหลัง ยังให้คุณภาพพอใช้ได้ แต่น่าจะปรับปรุงให้ดีกว่านี้อีก ส่วนระบบควบคุมความเร็วแปรผัน สามารถทำได้จนถึงรถหยุดนิ่ง เสียดายตรงที่ไม่มีกล้อง 360 องศามาให้ด้วย

ช่วงล่างนุ่มหนึบดี

การขับขี่ Honda e:N1 ในความเร็วสูงถือว่าทำได้มาก โดยมีผู้โดยสาร 1 คนไปด้วย สามารถซับรอยต่อถนนเล็กๆพอใชได้ และซับแรงคลื่นใหญ่ๆบนถนนได้ดี โดยอาการของรถจะซับขึ้นลงเพียงครั้งเดียว เหมาะกับการรูดคอสะพานมาก ส่วนการเข้าโค้งก็ทำให้เรารู้สึกถึงจุดหมุนของรถว่าอยู่ตรงกลางใต้เบาะจริง มีการยุบตัวเหมาะสมกับความแรงของโค้ง และไม่มีการส่ายซ้ำซ้อนเมื่อเปลี่ยนเลนกะทันหัน เรียกว่าอาการท้ายส่ายหายไปอย่างหมดจรดในย่านความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. ส่วนความเร็วสูงสุดตามโบรชัวร์อยู่ที่ 160 กม./ชม. ซึ่งเราทำได้เพียง 120 เนื่องจากสภาพการจราจร แต่ก็พบว่าการเก็บเสียงลมทำได้ดีกว่ารถระดับราคา 1 ล้านบาทด้วยกัน

สิ่งที่ต้องปรับปรุง

ระบบเครื่องเสียงอาจไม่ถูกใจแนวเบสหนัก เพราะไม่มีซับวูฟเฟอร์ อาจจะใช้การปรับ EQ ช่วยแก้ขัดก็พอใช้ได้ ส่วนเรื่องที่ควรเพิ่มเติมก็คือ ระบบล็อคประตูอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ ซึ่งสามารถอัพเกรดซอร์ฟแวร์ในภายหลังได้ และข้อสังเกตสุดท้ายเป็นเรื่องการจอดรถด้วยเกียร์ว่าง รถรุ่นนี้ยังทำไม่ได้ ในขณะที่ EV ที่ใช้เกียร์ไฟฟ้าจากค่ายอื่น สามารถทำได้แล้ว ด้วยการแก้ไขซอร์ฟแวร์เท่านั้น

สรุปการขับขี่ตลอดทั้งทริป วิ่งเปิดแอร์นั่งสองคน ขับแบบไม่ยั้ง กดจมเค้นพลังตลอดทาง ในระยะทางไป-กลับประมาณ 220 กม. ใช้แบตเตอรี่จาก 98% เหลือ 40% ยังขับได้อีก 150 กม. หากขับแบบคนใช้งานทั่วไปที่ไม่ได้เร่งแรงตลอดเวลา ก็นับว่าใช้เดินทางท่องเที่ยวนอกเมืองระยะทางใกล้ๆ ไม่เกินอุทยานเขาใหญ่ ไปได้สบายครับ

ค่าเช่า 5 ปี 1.7 ล้านบาท

Honda e:N1 เปิดตัวในไทยแต่ไม่เปิดขาย โดยแค่เปิดให้เช่าขับระยะยาว เริ่มต้น 24 เดือน สูงสุด 60 เดือน โดยค่าเช่าต่ำสุดคือ 28,800 บาท ตามตัวอย่างข้อมูลของบริษัทรถเช่าแห่งหนึง ที่ระบุไว้ดังนี้

จากตารางข้างบน จะเห็นว่า ถ้าอยากได้ค่าเช่าต่ำสุด ต้องเซ็นสัญญาเช่า 60 เดือน หรือ 5 ปีนั่นเอง รวมแล้วเป้นเงินค่าเช่าทั้งหมด 1,770,000 บาท ส่วนถ้าใครไม่อยากเสียเงินมากขนาดนี้ ก็เลือกเช่ารถระยะสั้น 24 เดือน จ่ายค่าเช่าดือนละ 43,000 บาท รวมเป็นเงินสูงสุด 1,048,800 บาทเท่านั้น

เช่าขับ ไม่มีจ่ายเพิ่ม

ข้อดีของการเช่า Honda e:N1 คือ ไม่ต้องต่อประกันภัย ไม่ต้องจ่ายค่าต่อทะเบียน ไม่ต้องจ่ายค่าบำรุงรักษา ไม่ต้องจ่ายค่าแบต EV แถมมีรถให้ใช้ทดแทนหากคันเดิมเกิดปัญหาด้วย นับว่าตรงใจกับคนที่ใช้รถเยอะ วิ่งงานวันละ 200 กม.ขึ้นไป จะเหมาะกับการเช่าใช้มากครับ

อ่านเพิ่มเติม : สัมผัสแรก Honda e:N1 ไฟฟ้าในร่าง HR-V ที่หรูหรากว่า ขับดีกว่า แต่ยังไม่มาเสียทีในปีนี้