ADAC สมาคมยานยนต์แห่งประเทศเยอรมนี ทำการทดสอบรถยนต์กว่า 396 คัน ในระยะเวลากว่า 5 ปี ในรูปแบบสนามเดิม ในสภาพพื้นถนนที่แห้งสนิท และยางใช้ยางซัมเมอร์ (ยางออลซีซันจะมีการระบุไว้) วิธีการทดสอบคือการวัดระยะทางเฉลี่ยจากการเบรคที่ 100 กม./ชม. จนถึงจุดหยุดนิ่ง
ในการทดสอบเบรคจะมีการทดสอบทั้งหมด 10 ครั้งเพื่อหาค่าเฉลี่ย ซึ่งจะทดสอบในสถานที่เดิมและอยู่ในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกันในแต่ละครั้ง การหาค่าเฉลี่ยจะทำให้เราได้ข้อมูลที่แม่นยำขึ้น ตรงกับการใช้งานในชีวิตจริงที่มีการใช้งานเบรคอย่างต่อเนื่อง
ผู้ชนะจากรถที่ทดสอบทั้งหมด ได้แก่ Porsche 911 Carrera S (ตัวถัง 992) ซึ่งมีระยะเบรคที่ “สั้นจนน่าใจหาย” โดยทันทีที่กดเบรคจากความเร็ว 100 กม./ชม.จนถึงจุดหยุดนิ่ง ใช้ระยะทางเพียง 30.9 เมตรเท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน การทดสอบของ ADAC กับ Suzuki Jimny เวอร์ชั่นรถยนต์นั่งปกติ ได้อันดับสุดท้าย โดยใช้ระยะทางมากถึง 45.2 เมตร ด้วยยางออลซีซั่นจากโรงงาน
ในยุโรป(ในไทยก็เช่นกัน) ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่จะติดตั้งยางซัมเมอร์ให้มาจากโรงงาน แต่รถบางรุ่นก็ติดตั้งยางออลซีซั่นมาให้เช่นกัน ทำให้บางครั้ง ADAC อาจไม่ได้ทดสอบรถเหล่านั้นด้วยยางซัมเมอร์ในสถานการณ์ที่เหมาะสมกับยางนั้น
กลับมาที่การทดสอบ ในขณะที่ Porsche 911 ถึงจุดหยุดนิ่ง Suzuki Jimmy ยังคงอยู่ที่ความเร็ว 56 กม./ชม. ทำให้ระยะห่างระหว่าง 45.2 และ 30.9 เมตร มีถึง 14.3 เมตร ซึ่งมีความยาวเท่ากับความยาวของรถ 3 คันเลยทีเดียว
ในท๊อป 5 ที่เบรคดียังมีอีก 4 อันดับ ได้แก่ BMW M5, the SEAT Leon ST Cupra R, Audi's A7, และ Ford Focus 1.0 EcoBoost ซึ่งการที่มีจากฟอร์ดติดอันดับแสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องเป็นรถสมรรถนะสูงก็มีเบรคที่ดีได้เช่นกัน
ADAC กล่าวว่าชนิดของยางมีผลต่อการทดสอบ เมื่อพูดถึงยาง Porsche 911 Carrera S มาพร้อมยาง Pirelli P Zero จากโรงงานเช่นเดียวกันกับ BMW M5 แต่มีขนาดเล็กกว่า และในอันดับที่เหลือจะใช้ยางพรีเมียมสปอร์ต เช่น มิชลิน หรือ คอนติเนนทัล
ในขณะเดียวกันท๊อป 5 ที่มีเบรคแย่ที่สุด Suzuki Jimny มาในอันดับที่ 1 โดยใช้ระยะเบรคถึง 45.2 เมตร จากความเร็ว 100 กม./ชม. โดยใช้ยาง Bridgestone Dueler ที่มาจากโรงงาน
อันดับต่อมาคือ Peugeot Rifter ที่สวมยาง Michelin Latitude Tour HP ตามมาด้วย Land Rover Discovery ที่ใช้ระยะเบรคถึง 40.9 เมตร ด้วยยางออลซีซั่น Pirelli Scorpion Verde ส่วนรถที่สวมด้วยยางแบบประหยัดน้ำมันอย่าง Suzuki Ignis และ Toyota Aygo ล้วนมีระยะเบรคที่มากกว่า 39 เมตรทั้งสิ้น
และถ้าจะจัดอันดับกันเฉพาะรถปลั๊กอินไฮบริดที่เบรคดี Mercedes-Benz GLE 350de จะขึ้นนำเป็นอันดับ 1 ด้วยระยะเบรคเฉลี่ยเพียง 33.2 เมตร ซึ่งห่างจากที่ 1 ของภาพรวมเพียง 2.3 เมตรเท่านั้น
อันดับต่อมาจะเป็น Polestar 1 ที่ใช้ยาง Pirelli P Zero เหมือนกันกับอันดับ 1 ในขนาด 21 นิ้ว แต่ของ Polestar จะมีความกว้างของยางหน้าหลังที่ต่างกัน
อันดับที่ 3 ตามมาด้วย BMW 745e ด้วยระยะเบรก 33.3 เมตร ด้วยยาง Pirelli P Zero เช่นกัน และ VW Golf GTE ตามมาในอันดับ 4 ด้วยระยะ 33.4 เมตร
และน่าแปลกใจที่อันดับ 5 คือเอสยูวีจากแดนกิมจิอย่าง Kia Sorento 1.6 T-GDI PHEV ที่ใช้ยาง Continental PremiumContact 6 ในระยะทางเพียง 33.5 เมตร ซึ่งจะเห็นว่าระยะห่างระหว่างแต่ละอันดับมีเพียง 0.1 เมตรเท่านั้น
รถพื้นฐานเดียวกันจะเห็นภาพชัด
มีดีที่สุดต้องมีแย่ที่สุด อันดับ 1 สำหรับเบรคที่แย่ที่สุดของปลั๊กอินไฮบริดคือ Suzuki Across 2.5 PHEV ซึ่งติดตั้งยางออลซีซันมาให้จากโรงงาน และใช้ระยะทางถึง 39.7 เมตรเพื่อหยุดรถให้หยุดนิ่งจากความเร็ว 100 กม./ชม.
ส่วนพี่น้องที่แชร์แพลทฟอร์มเดียวกันอย่าง Toyota RAV4 แต่มาด้วยยางซัมเมอร์ไทร์ Bridgestone Alenza ขนาด 18 นิ้ว (Across ใช้ 19 นิ้ว) ใช้ระยะทาง 38.4 เมตร ซึ่งใช้ระยะที่สั้นกว่าถึง 1.3 เมตร
มาลองจัดอันดับเฉพาะรถอีวีกันบ้าง อันดับ 1 ที่เบรคดีที่สุด ได้แก่ Polestar 2 ในระยะเพียง 31.6 เมตร ด้วยยาง Continental SportContact 6 ในล้อขนาด 20 นิ้ว
อันดับที่ 2 ตามมาด้วย Mazda MX-30 อีวีคันแรกของมาสด้า ด้วยระยะเบรคที่ 33 เมตร พร้อมยาง Azenis FK 510 และ Audi's e-tron Sportback 55 ตามมาที่อันดับ 3 ส่วน Volvo XC40 Recharge ตามมาที่อันดับ 4 และปิดท้ายด้วย Opel Ampera-E First Edition ในระยะเบรคเพียง 34.3 เมตร
ส่วนรถอีวีที่มีประสิทธิภาพการเบรคน้อยที่สุด คือ Hyundai Kona โฉมปี 2018 ในระยะเบรคถึง 40.3 เมตร แต่เมื่อหลังจากการปรับโฉมแล้วจึงเปลี่ยนยางมาเป็น Michelin Primacy 4 ทำให้ระยะเบรคลดลงเป็น 36.1 เมตร ซึ่งทาง ADAC กล่าวว่าเป็นเพราะยาง Nexen N Fera SU1 ที่ใช้ในโฉมก่อนหน้านั่นเอง
อันดับถัดมาที่รถคันจิ๋วอย่าง Smart fortwo Coupe EQ ซึ่งมีระยะเบรคที่ 39.1 เมตร ซึ่งมากกว่าที่คาดสำหรับรถเล็กขนาดนี้
ถัดมาเป็น MG ZS และ Nissan Leaf และปิดท้ายด้วย MINI Cooper SE ด้วยระยะเบรคเฉลี่ยที่ 36.8 เมตร ด้วยยาง Hankook Ventus S1 evo
โดยภาพรวมแล้ว ทาง ADAC ได้ให้ข้อสรุปว่า ยางรถยนต์ คือส่วนสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้รถของเรามีประสิทธิภาพการเบรคที่ดีขึ้น จากความเร็ว 100 กม./ชม. บนพื้นถนนที่แห้งสนิท
ส่วนเรื่องของแบตเตอรี่ที่ทำให้น้ำหนักรถเพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้มีผลมากมายในการทดสอบเบรคของ ADAC อาจเป็นเพราะแบตเตอรี่ถูกติดตั้งไว้ที่ด้านล่างของรถยนต์ ซึ่งทำให้จุด CG ต่ำนั่นเอง
สมาคมยานยนต์จากเยอรมันยังแนะนำว่า ควรใส่ยางประเภทเดียวกันและรุ่นเดียวกันทั้ง 4 ล้อ และควรเช็คลมยางทุก ๆ 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ พยายามเลือกยางที่คุณภาพดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ และปรับเปลี่ยนแรงดันลมยางถ้าการเดินทางนั้นต้องบรรทุกมากขึ้นหรือต้องใช้ความเร็วสูง
อ่านเพิ่มเติม : จริงหรือไม่? ยางประหยัดน้ำมัน ลดประสิทธิภาพในการเบรก แถมยังไม่เกาะถนน
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}