Ferrari Roma

การออกแบบภายนอก Ferrari Roma

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า Ferrari Roma รุ่นนี้ได้รับการออกแบบโดยที่ไม่ได้อิงจากรุ่นพี่มากนัก เส้นสายโค้งมนทั้งคัน ด้านหน้ามากับไฟหน้าทรงคล้ายใบไม้ที่มีความโฉบเฉี่ยวเป็นอย่างมาก มีไฟเดย์ไลท์ตัดตรงกลางโคม กระจังหน้าเป็นแบบตารางสีเดียวกับตัวรถซึ่งเป็นจุดที่ยื่นมากที่สุดของรถให้ความรู้สึกเหมือนจมูกฉลาม ตัดกับสเกิร์ตล่างสีดำรอบคัน ด้านข้างถ้ามองเผินๆอาจจะดูคล้ายแอสตันมาร์ตินมากกว่าเฟอร์รารี่ แต่ยังคงมีเอกลักษณ์ของเฟอร์รารี่เช่นไฟท้ายทรงกลมบริเวณซุ้มล้อหน้า มือจับประตูซ่อนอยู่ในตัวถัง แนวหลังคาลาดรับกับบั้นท้ายด้านหลัง ซุ้มล้อหลังมีโป่งนูนออกมาระดับหนึ่งทำให้ตัวรถดูเซ็กซี่ ด้านท้ายไฮไลท์คือไฟท้ายทรงใหม่ที่เท่มากๆ โดยเป็นไฟท้ายคู่ฝั่งละ 2 ก้อนที่จากปกติจะเป็นทรงกลม แต่คราวนี้เหมือนนำไปบีบกับสันคมด้านหลังทำให้เป็นไฟท้ายแบบเส้นแบน
แนบไปกับตัวรถ ซึ่งของจริงสวยมาก บริเวณบั้นท้ายรถรวมถึงปลายท่อไอเสียคู่ให้ความรู้สึกคล้ายบั้นท้ายของ 599 นิดๆ มีความเป็นรถ GT ที่กลมกล่อมทั้งคัน ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว พร้อมดิสก์เบรกสีดำมาเป็นมาตรฐาน แต่เลือกออฟชั่นตกแต่งได้

มิติตัวรถ Ferrari Roma

การออกแบบภายใน Ferrari Roma

ภายในห้องโดยสารของ Ferrari Roma แม้จะบอกว่าเป็นรถ GT แบบ 2+2 ที่นั่งแต่เบาะหลังผู้ใหญ่น่าจะนั่งไม่ได้ เหมาะกับเด็กหรือไว้วางกระเป๋าน่าจะโอเคกว่า เบาะนั่งกึ่งบัคเก็ตซีทหุ้มหนังทรงสวยของคู่หน้า สิ่งที่แตกต่างจากเฟอร์รารี่รุ่นอื่นๆคือจอทัชสกรีนตรงกลางขนาดใหญ่ผิดวิสัยเฟอร์รารี่ทั่วไปโดยมาในขนาด 8.4 นิ้ว และมาตรวัดแบบจอดิจิตอลที่น่าตื่นตาตื่นใจขนาด 16 นิ้ว ที่แสดงวัดรอบตรงกลางอันเป็นเอกลักษณ์ แสดงความเร็วเป็นดิจิตอลและสามารถแสดงข้อมูลการขับขี่อื่นๆบริเวณด้านข้างซ้ายขวา บริเวณคอนโซลเกียร์ถูกออกแบบมาให้มีลักษณะช่องเกียร์เหมือนเกียร์ธรรมดารุ่นคลาสิคของเฟอร์รารี่ ใต้แผงเกียร์เป็นที่เสียบกุญแจรถที่ถูกออกแบบมาเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนแกะโลโก้เฟอร์รารี่ออกมาเลย ลักษณะคอนโซลถูกออกแบบแยกเป็น 2 ฝั่งระหว่างผู้ขับกับผู้โดยสารโดยมีคอนโซลเกียร์เป็นตัวขั้น มีที่เท้าแขนให้ พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังก์ชั่นพร้อมสวิตช์ปรับโหมดการขับขี่ ปุ่มสตาร์ทรถอยู่บนพวงมาลัยเช่นกัน มีแพดเดิลชิฟต์มาให้แน่นอน บริเวณฝั่งผู้โดยสารสามารถสั่งออฟชั่นติดตั้งจอเพิ่มได้เพื่อแสดงข้อมูลรอบเครื่องและความเร็วเป็นจอแบบแนวนอนได้ เรียกได้ว่าสร้างอดรีนาลีนไปพร้อมๆกันทั้งคนขับและคนนั่ง สำหรับการเปิดประตูเพื่อลงจากรถต้องทำการกดปุ่มเพื่อปลดล็อคประตูเท่านั้น ไม่มีมือจับเปิดประตูจากด้านใน สำหรับภายในของ Roma นับได้ว่าเป็นภายในของเฟอร์รารี่ที่สวยและทันสมัยที่สุดรุ่นหนึ่ง

เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวก

ด้านการขับขี่เทคโนโลยี Ferrari Roma ที่สำคัญที่สุดสำหรับเฟอร์รารี่ คือ ช่วงล่างแบบแม่เหล็กไฟฟ้า (MagneRide) ที่สามารถปรับการทำงานของโช็คแต่ละข้างอย่างอิสระทำให้เสถียรภาพของรถมีความมั่นคงในทุกสถานการณ์ ไฟหน้าไฟหลังแบบ LED และสามารถสั่งออฟชั่นเป็นแบบ Matrix LED ได้ ภายในเบาะมาพร้อมระบบปรับอากาศทั้งเป่าลมและอุ่นร้อนพร้อมระบบบันทึกตำแหน่งเบาะ 3 ตำแหน่ง มาตรวัดความเร็วสามารถแสดงข้อมูลจาก Apple CarPlay และ Android Auto ได้ ส่วนตรงกลางไว้ปรับระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ฟังก์ชั่นของเบาะ ระบบเนวิเกเตอร์ของตัวรถที่ไม่ใช่มาจากโทรศัพท์ หรือกดหมายเลขโทรศัพท์ในกรณีต่อบลูทูได้

ระบบความปลอดภัยเชิงปกป้อง (Passive safety)

• ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค (ABS)
• ระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
• ระบบควบคุมการทรงตัว (ESP) 
• ถุงลมคู่หน้า / ด้านข้าง / หัวเข่า

ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน (Active safety)

• ต้องติดตั้งแพ็คเกจระบบช่วยเหลือคนขับ (Advance Driver Assist : ADAS) เพิ่มซึ่งจะได้
• ระบบกล้องมองภาพรอบคัน
• ระบบช่วยบังคับรถให้อยู่ในเลน (Lane Assist)
• ระบบช่วยเบรกรถอัตโนมัติ (Emergency Braking Assist)
• ระบบเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Monitoring)
• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control)
• กระจกรถตัดแสงรอบคัน

ขุมพลังและสมรรถนะ Ferrari Roma

สำหรับ Ferrari Roma มาพร้อมขุมพลัง V8 ประจำค่ายที่ใช้ร่วมกันหลายรุ่นทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ โดยเครื่องที่ใช้บน Roma มาพร้อมรหัส F154BH เป็นเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ขนาดความจุ 3.9 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 620 แรงม้า ที่ 5700 – 7500 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร ที่ 3000 – 5750 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8 จังหวะ จาก GETRAG ลูกเดียวกันกับที่ใช้ในไฮเปอร์คาร์ไฮบริดรุ่นพี่อย่าง SF90 เครื่องวางกลางด้านหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง สมรรถนะการเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 3.4 วินาที สามารถทำ 0 – 200 กม./ชม. ได้ภายใน 9.3 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ 320 กม./ชม.

อย่าปรามาสว่า Ferrari Roma เป็นเฟอร์รารี่รุ่นเล็กสุดแล้วมันจะไม่แรง นี่คือเฟอร์รารี่ที่พกม้ามา 620 ตัว การเร่งออกตัวคุณแทบจะไม่พบความต่างกับรุ่นพี่ที่แรงกว่าของมันอย่าง F8 เลย มันพร้อมที่จะกระชากให้หัวคุณติดเบาะได้ทุกเมื่อและถ้าคุณปิดระบบ ESP ท้ายของมันก็พร้อมที่จะปัดได้ทุกเมื่อไม่ต่างกับพี่ของมันเลย แต่ด้วยความเป็นรถ GT ซึ่งเฟอร์รารี่ตั้งใจที่จะให้รถคันนี้สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ทำให้เฟอร์รารี่ใส่โหมด Comfort มาให้และถ้าคุณติดตั้งออฟชั่น MagneRide คุณจะได้โหมดช่วงล่างแบบ Bumpy Road ที่จะทำให้การขับขี่นุ่มนวลมากขึ้นไปอีกเหมาะกับถนนเมืองไทยมากขึ้น การเลือกโหมด Comfort แล้วคุณมีพฤติกรรมใช้คันเร่งแบบรถทั่วไป มันก็จะตอบสนองแบบรถ GT ชั้นดีไม่มีการกระตุกที่รอบต่ำ ขับเรียบๆเนียนๆได้เลย ใช้งานในชีวิตประจำวันได้จริง แต่ถ้าคิกดาวน์ก็พร้อมจะพาคุณวาร์ปได้ทุกเมื่อ สำหรับพวงมาลัยคุณอาจต้องใช้เวลาปรับตัวสักพักเนื่องจากฟังก์ชั่นค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าชินแล้วคุณจะใช้ทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่วและสะดวกมากขึ้น

เบาะนั่งหุ้มกึ่งบักเก็ตซีท Ferrari Roma ให้ความกระชับในการขับขี่แต่ยังคงนั่งสบาย การปรับเบาะทำได้หลากหลายและมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างพอสมควร การใช้งานจอกลางน่าเสียดายที่แอปเปิลคาร์เพลย์จะมาแสดงตรงจอมาตรวัดตรงกลางแทนทำให้ไม่สามารถดูรอบเครื่องจากวงสวยงามไปพร้อมกับแสดง CarPlay ตรงจอกลางได้ เรื่องวัสดุภายในใช้หนังดี นุ่มในหลายๆที่ การเปิดประตูอาจจะไม่ชินที่ต้องใช้การกดปุ่มตรงมือจับประตูแทนการดึงสลักออก

Ferrari Roma คือเฟอร์รารี่ที่มีดีไซน์แบบแฟชั่นมากที่สุดในบรรดาเฟอร์รารี่ยุคใหม่ มองเผินๆอาจดูไม่ออกว่าเป็นเฟอร์รารี่แต่ความสวยงาม ลงตัว ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะด้านท้ายที่สวยงาม น่าขับตามมาก ภายในมาพร้อมจอกลางขนาดใหญ่ซึ่งเฟอร์รารี่ปกติไม่มี และมาพร้อมระบบช่วยเหลือคนขับเยอะกว่าเฟอร์รารี่ทั่วไปแต่ต้องเลือกเป็นออฟชั่น ขุมพลังยังคงให้ความเป็นเฟอร์รารี่ซึ่งแค่สตาร์ทรถเสียงเครื่องก็พร้อมคำรามต้อนรับ และแค่คิกดาวน์ม้าทั้ง 620 ตัว มันก็พร้อมจะพาคุณเปิดวาร์ปทันที และด้วยราคาที่ต่ำเกือบที่สุดของเฟอร์รารี่ นี่เหมาะสมสำหรับเป็นเฟอร์รารี่คันแรกและใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาแล้ว